ประวัติสโมสรฟุตบอล liverpool

sanamball.net

liverpool (ลิเวอร์พูลพรีเมียร์ลีก)

เจ้าของฉายาสุดคลาสสิค “เครื่องจักรสีแดง” (Red Machine) หรือที่แฟนบอลชาวไทยมักเรียกว่า “หงส์แดง” ถือเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมยอดนักเตะฝีเท้าระดับโลกที่เคยตบเท้าเข้ามาสร้างความยิ่งใหญ่ให้ liverpool กลายเป็นทีมฟุตบอลที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในทวีปยุโรปจนถึงทุกวันนี้  แน่นอนว่าประวัติศาสตร์และความสำเร็จเหล่านี้ทำให้ liverpool กลายเป็นสโมสรอันดับต้น ๆ ที่มีแฟนบอลที่เรียกว่า “เดอะ ค็อป” (The Kop) กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก  อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่แฟนบอลชาวไทยให้การสนับสนุนกันอย่างล้นหลาม  แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน liverpool ก็มีชะตาที่คล้ายกับทุกสโมสรบนโลก นั่นคือ มีทั้งยุคที่รุ่งเรืองและยุคตกต่ำ เคยประสบความสำเร็จจนครองความยิ่งใหญ่ทั้งในอังกฤษและเวทียุโรปมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับที่เคยพบความล้มเหลวต่อเนื่องนับสิบปี  ดังนั้น วันนี้เราจะมาย้อนประวัติศาสตร์เพื่อทำความรู้จักกับเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของสโมสร liverpool มากยิ่งขึ้น  

sanamball.net

 liverpool กับประวัติตั้งแต่ยุคก่อตั้งสโมสร

liverpool (ลิเวอร์พูลพรีเมียร์ลีก) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของอังกฤษก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1892 โดยมีจุดเริ่มต้นจากความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าระหว่าง “จอห์น โฮลดิง” (John Houlding) เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งสนาม “แอนฟิลด์” กับสโมสร เอฟเวอร์ตัน (Everton F.C.) ซึ่งเป็นผู้เช่าสนามในขณะนั้น ทำให้สโมสร เอฟเวอร์ตัน ตัดสินใจย้ายไปสร้างสนามใหม่ที่ “กูดิสันพาร์ค” ส่วน จอห์น โฮลดิง ก็ตัดสินใจก่อตั้งสโมสรฟุตบอลของตัวเอง โดยในตอนแรก โฮลดิง พยายามจดทะเบียนสโมสรใหม่ในชื่อ “เอฟเวอร์ตัน ฟุตบอล คลับ และบริษัทแอธเลติกกราวด์ คอมปะนี” (Everton Football Club and Athletic Grounds Company) แต่ไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากซ้ำกับสโมสร เอฟเวอร์ตัน เดิม ทำให้ โฮลดิง ตั้งชื่อทีมใหม่ว่า “ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ” (Liverpool Football Club) ก่อนจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1892  และนับแต่นั้นเป็นต้นมา สโมสร ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน ก็ถือเป็นคู่ปรับร่วมเมืองกันที่ตั้งอยู่ห่างกันเพียงแค่สวนสาธารณะกั้นเท่านั้น โดย liverpool ใช้สนาม “แอนฟิลด์” เป็นสนามเหย้าและสวมชุดแข่งสีน้ำเงิน-ขาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงในปี ค.ศ.1894 รวมถึงตราสัญลักษณ์ประจำทีมรูป “นกลิเวอร์เบิร์ด” (Liver bird) ก็เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1901 จนถูกนำมาติดลงบนชุดแข่งของนักเตะครั้งแรกในปี 1950  

ทั้งนี้ liverpool เข้าร่วมการแข่งขันลีกฟุตบอลอาชีพอังกฤษในลีกดิวิชั่นสอง (Championship ในปัจจุบัน) ในฤดูกาล 1893-1894 ก่อนจะใช้เวลาไม่นานก็สามารถคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองได้ในฤดูกาล 1895-1896 พร้อมทั้งเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดหรือลีกดิวิชั่นหนึ่ง จนกระทั่งในฤดูกาล 1900-1901  liverpool ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรก โดยในยุคนี้ liverpool มีนักเตะคนสำคัญอย่าง “อเล็กซ์ ไรสเบค” (Alex Raisbeck) ปราการหลังกัปตันทีม และ “แซม เรย์โบลด์” (Sam Raybould) กองหน้าจอมถล่มประตู  แต่ทว่าในซีซัน 1903-1904 liverpool ทำผลงานได้ย่ำแย่จนต้องตกชั้นสู่ลีกดิวิชั่นสองอีกครั้ง  อย่างไรก็ตาม liverpool ใช้เวลาแค่ซีซันเดียวเท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองในฤดูกาล 1904-1905 พร้อมทั้งเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง แถมกลับมาฤดูกาลแรกก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดทันทีในซีซัน 1905-1906 ถือเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่คว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองและลีกสูงสุดได้แบบต่อเนื่องกัน  แต่หลังจากนั้น liverpool ต้องใช้เวลาอีก 15 ปี กว่าจะกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในซีซัน 1921-1922 โดยมีขุมกำลังอย่าง “เอลิชา สก็อตต์” (Elisha Scott) สุดยอดผู้รักษาประตู และ “โดนัลด์ แมคคินเลย์” ยอดปราการหลังที่ลงสนามรับใช้ liverpool ไปถึง 393 นัด ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่รับใช้สโมสร ด้วยขุมกำลังอันแข็งแกร่งนี้ liverpool สามารถป้องกันแชมป์ลีกได้อีกครั้งในซีซัน 1922-1923  แต่หลังจากนั้น liverpool ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกเลยจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมระยะเวลากว่า 20 ปี“จอห์น โฮลดิง” (John Houlding) ผู้ก่อตั้งสโมสร liverpool

sanamball.net

liverpool ครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษยุค 60-70 ภายใต้การคุมทีมของ “บิลล์ แชงคลี” 

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 liverpool ที่นำทัพโดยศูนย์หน้าตัวเก่งอย่าง “วิลลี่ ฟาแกน” (William Fagan) และ “อัลเบิร์ต สตับบินส์” (Albert Stubbins) ก็กลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฤดูกาล 1946-1947 ยุติการรอคอยอันยาวนานกว่า 23 ปี นับตั้งแต่คว้าแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายในปี 1923 แต่ทว่าหลังจากคว้าแชมป์ลีกในครั้งนั้น liverpool ก็มีผลงานตกต่ำลงเรื่อย ๆ และไม่สามารถคว้าแชมป์รายการไหนได้อีกเลยจนในซีซัน 1953-1954 liverpool ก็จบอันดับบ๊วยของตารางคะแนน กระเด็นตกชั้นเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี  liverpool วนเวียนอยู่ในลีกดิวิชั่นสองหลายปีจนกระทั่ง “บิลล์ แชงคลี” (Bill Shankly) ถูกแต่งตั้งเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในซีซัน 1959-1960 พร้อมด้วยนักเตะระดับพรสวรรค์อย่าง “เอียน เซนต์ จอห์น” (Ian St John), “รอน ยตส์” (Ron Yeats) หลังจากนั้นสโมสรแห่งนี้ก็พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่คว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสองในซีซัน 1961-1962 กลับขึ้นสู่ลีกดิวิชั่นหนึ่งได้สำเร็จ ตามด้วยแชมป์ลีกสูงสุดในฤดูกาล 1963-1964 โดยในปี 1963 บิลล์ แชงคลี คว้าตัวปีกตัวเก่งอย่าง “ปีเตอร์ ทอมป์สัน” (Peter Thompson) มาร่วมทีม และกลายเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ liverpool คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1964-1965 และแชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาล 1965-1966  นอกจากนี้ ในช่วงยุค 60 นี้เองที่แฟนบอลเดนตายของทีม liverpool หรือที่เรียกว่า “The Kop” ใช้เพลง “You’ll Never Walk Alone” เป็นเพลงประจำสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้ บิลล์ แชงคลี ปิดฉากการทำงานในถิ่น แอนฟิลด์ ในปี ค.ศ.1974 โดยก่อนจะวางมือ แชงคลี ทิ้งทวนด้วยการคว้าตัวกองหน้าอย่าง “เควิน คีแกน” (Kevin Keegan) มาร่วมทัพในปี 1971 และเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ liverpool คว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในซีซัน 1972-1973 และแชมป์ เอฟเอ คัพ ซีซัน 1973-1974  ส่งผลให้ บิลล์ แชงคลี ถูกยกย่องให้เป็นผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของ liverpool จนได้รับเกียรติให้มีรูปปั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณสนาม แอนฟิลด์ จนถึงทุกวันนี้

liverpool ครองความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรป ยุค 70-80 

แม้ บิลล์ แชงคลี จะลงจากเก้าอี้ผู้จัดการทีมในปี 1974 แต่ liverpool ภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือคนใหม่อย่าง “บ็อบ เพลสลี่ย์” (Bob Paisley) ก็ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจนแทบจะผูกขาดตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดทุกปี ได้แก่ฤดูกาล 1975-1976, 1976-1977, 1978-1979, 1979-1980, 1981-1982 และ 1982-1983 รวมไปถึงแชมป์ ลีกคัพ อีกหลายสมัย ตั้งแต่ 1980-1981, 1981-1982 และ 1982-1983  ยิ่งไปกว่านั้นคือ liverpool ในยุคของ บ็อบ เพลสลี่ย์ ยังก้าวไปครองความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปด้วยการความแชมป์ ยูโรเปียน คัพ (ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปัจจุบัน) ได้ถึง 3 สมัย เริ่มตั้งแต่ คว้าแชมป์ในซีซัน 1976-1977 ด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค (Borussia Mönchengladbach) ยอดทีมจากเยอรมันไปถึง 3-1 ก่อนจะกลับมาป้องกันแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันในซีซัน 1977-1978 ด้วยการเอาชนะ คลับ บรูกก์ (Club Brugge) ทีมดังจากเบลเยี่ยมไป 1-0 และปิดท้ายด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 3 ในซีซัน 1980-1981 ด้วยการโค่น เรอัล มาดริด (Real Madrid) ยักษ์ใหญ่จากสเปนไป 1-0  ทั้งนี้ บ็อบ เพลสลี่ย์ วางมือจากการคุมทีม liverpool ไปในปี 1983 โดยส่งไม้ต่อให้ “โจ เฟแกน” (Joe Fagan) เข้ามารับช่วยต่อเป็นเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่ปี 1983-1985 แต่ เฟแกน ก็พา liverpool ประสบความสำเร็จด้วยการคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุด, แชมป์ลีกคัพ และแชมป์ ยูโรเปียน คัพ สมัยที่ 4 (ชนะ โรม่า ในนัดชิงชนะเลิศ) ในซีซัน 1983-1984 หลังจาก เฟแกน วางมือในปี 1985  “เคนนี แดลกลีช” (Kenny Dalglish) ก็รับช่วงต่อตำแหน่งนายใหญ่ในถิ่น แอนฟิลด์ แม้ว่า แดลกลีช จะไม่สามารถพา liverpool ครองความเป็นเจ้ายุโรปได้อีก แต่ก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีก 3 สมัย ในซีซัน 1985-1986, 1987-1988 และ 1989-1990 ซึ่งถือเป็นผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่พา liverpool คว้าแชมป์ลีกสูงสุด ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อจาก “ดิวิชั่นหนึ่ง” เป็น “พรีเมียร์ลีก” ในปี 1992 และนับตั้งแต่นั้น ไม่ว่า liverpool จะเปลี่ยนผู้จัดการทีมกี่คน ก็ไม่เคยคว้าแชมป์ลีกได้อีกเลยตลอด 30 ปี จนถึงยุคของ “เจอร์เกน คล็อปป์” (Jürgen Klopp) ที่สามารถพา Liverpool กลับสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซีซัน 2018-2019 ต่อด้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในซีซัน 2019-2020

Liverpool ชุดตำนาน “ทริปเปิ้ลแชมป์” ปี 1984 

 liverpool กับผลงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน 

Liverpool ถือเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสโมสรหนึ่งของอังกฤษ ตลอดระยะเวลาที่โลดแล่นอยู่บนลีกฟุตบอลอาชีพมากว่า 130 ปี ฝากผลงานไว้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ได้แก่ 

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่นหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก) 19 สมัย: 1900–1901, 1905–1906, 1921–1922, 1922–1923, 1946–1947, 1963–1964, 1965–1966, 1972–1973, 1975–1976, 1976–1977, 1978–1979, 1979–1980, 1981–1982, 1982–1983, 1983–1984, 1985–1986, 1987–1988, 1989–1990, 2019–2020

แชมป์ลีกดิวิชั่นสอง 4 สมัย: 1893–1894, 1895–1896, 1904–1905, 1961–1962

แชมป์ เอฟเอ คัพ 7 สมัย: 1964–1965, 1973–1974, 1985–1986, 1988–1989, 1991–1992, 2000–2001, 2005–2006

แชมป์ ลีกคัพ 8 สมัย: 1980–81, 1981–1982, 1982–1983, 1983–1984, 1994–1995, 2000–2001, 2002–2003, 2011–2012 

แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 6 สมัย: 1976–1977, 1977–1978, 1980–1981, 1983–1984, 2004–2005, 2018–2019

แชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 3 สมัย: 1972–1973, 1975–1976, 2000–2001

แชมป์ สโมสรโลก 1 สมัย: 2019

 liverpool กับนักเตะระดับตำนานของสโมสร 

liverpool ถือเป็นสโมสรที่รวบรวมสุดยอดนักเตะไว้แทบทุกยุคทุกสมัย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นกำลังสำคัญที่พาสโมสรประสบความสำเร็จแทบทั้งสิ้น ได้แก่ 

“เควิน คีแกน” (Kevin Keegan) กองหน้าทีมชาติอังกฤษที่ย้ายมาร่วมทีม liverpool ตั้งแต่ปี 1971-1977 ลงเล่นไปทั้งสิ้น 230 นัด ทำได้ 68 ประตู พาสโมสรคว้าแชมป์ลีกถึง 3 สมัย ในซีซัน 1972-1973, 1975-1976 และ 1976-1977 รวมถึงแชมป์ ยูโรเปียน คัพ อีก 1 สมัยในซีซัน 1976-1977 

เอียน รัช” (Ian Rush) กองหน้าจอมถล่มประตูที่ย้ายมาค้าแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ ตั้งแต่ปี 1980-1886 และ 1988-1996 ลงสนามไปทั้งสิ้น 360 นัด ซัดไป 346 ประตู ยึดตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ liverpool จนถึงทุกวันนี้  นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดร่วมกับ liverpool ไปถึง 6 สมัย และยังในขุนพลชุดคว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” ซีซัน 1983-1984 อีกด้วย 

สตีเว่น เจอร์ราร์ด” (Steven Gerrard) มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษถือเป็นลูกหม้อของทัพ “เรด แมชชีน” ตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน จนได้รับโอกาสขึ้นชุดใหญ่ในปี 19982015 รวมแล้วค้าแข้งอยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ เกือบ 20 ปี ลงเล่นไปทั้งสิ้น 710 นัด ทำได้ 186 ประตูรวมทุกรายการ พา liverpool คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 5 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาล 2005-2006 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์” (Mohamed Salah) ดาวยิงคนสำคัญของ liverpool ในยุคปัจจุบัน ย้ายมาค้าแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ ตั้งแต่ปี 2017 ก่อนจะระเบิดฟอร์มอย่างน่าประทับใจด้วยการลงสนามไปแล้ว 155 นัด ทำได้ 97 ประตู และถือเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ liverpool ในยุคของ เจอร์เกน คล็อปป์ กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ในซีซัน 2018-2019 ต่อด้วยการคว้า แชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกของสโมสรในซีซัน 2019-2020 

 liverpool กับมูลค่าทางการตลาด

liverpool ในปัจจุบันถูกจัดอันดับให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดในโลก โดยเว็บไซต์ฟุตบอลชื่อดังอย่าง “transfermarkt.com” ด้วยมูลค่ารวมกว่า 1.1 พันล้านยูโร ปัจจัยสำคัญก็มาจากฐานแฟนบอลของ liverpool ที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก แถมผลงานในช่วงหลายฤดูกาลหลังที่ liverpool เดินหน้าคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่การคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกสมัยที่ 6 ในซีซัน 2018-2019 ต่อด้วยการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในซีซั่น 2019-2020 และล่าสุดก็สามารถคว้าแชมป์สโมสรโลกมาครองได้ในปี 2020  นอกจากนี้ liverpool ยังรวบรวมนักเตะระดับโลกเอาไว้ล้นทีม ซึ่งนักเตะเหล่านี้มีมูลค่าทางการตลาดตั้งแต่หลายสิบล้านจนถึงร้อยล้านยูโร เช่น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงคนสำคัญที่ถูกประเมินว่ามีมูลค่าถึง 120 ล้านยูโร หรือ เทรน อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ (Trent Alexander-Arnold) แบ็คจอมบุกวัย 21 ปีที่มีมูลค่าถึง 110 ล้านยูโร รวมถึง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk) ปราการหลังจอมแกร่งที่มีมูลค่าถึง 80 ล้านยูโร เป็นต้น  

แฟนบอล “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษพันธุ์แท้ที่ไม่อยากพลาดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษ ห้ามพลาดติดตามการรวบรวมประวัติและผลงานของสโมสรฟุตบอล Liverpool (ลิเวอร์พูลพรีเมียร์ลีก) ตั้งแต่ยุคก่อตั้งถึงปัจจุบัน เดินทางผ่านกาลเวลามาแล้วกว่า 130 ปี แทบไม่เคยขาดนักเตะระดับพรสวรรค์ของโลกลูกหนังในแต่ละยุคสมัย อีกทั้งยังเคยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จนกลายเป็นสโมสรเบอร์หนึ่งของโลก เช่นเดียวกับที่เคยตกต่ำจนแทบร้างถ้วยแชมป์มานับสิบปี จนกลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกอย่างทุกวันนี้ รับรองว่าคุณจะรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของสโมสรฟุตบอลที่คุณรักไม่แพ้แฟนบอลต่างประเทศอย่างแน่นอน