ประวัติสโมสรฟุตบอล สเปอร์ส

sanamball.net

สเปอร์ส (Tottenham Hotspur) เจ้าของฉายาสุดคลาสสิค “ไก่เดือยทอง”

ถือเป็น 1 ใน 6 สโมสรยักษ์ใหญ่ของอังกฤษยุคปัจจุบันที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับแถวหน้าของโลกลูกหนังจนมีลุ้นเบียดแย่งตำแหน่งแชมป์กับทีมยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ทั้งในอังกฤษและเวทียุโรปได้อย่างสนุกสูสีแทบทุกปี โดยเฉพาะผลงานในช่วง 5 ปีหลังสุด ที่ สเปอร์ส แทบไม่เคยพลาดตั๋วไปลุยศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เลยแม้แต่ฤดูกาลเดียว แถมในซีซัน 2018-2019 สเปอร์ส ยังทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แม้จะสุดท้ายจะพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล คู่แข่งร่วมลีก พลาดการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของสโมสรไปอย่างน่าเสียดาย แต่นั่นก็เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า สเปอร์ส ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับแถวหน้าของยุโรปที่รอวันประสบความสำเร็จอย่างเต็มตัว  ดังนั้น วันนี้เราจึงจะย้อนไปเปิดประวัติของสโมสร สเปอร์ส ตั้งแต่ยุคก่อตั้งเพื่อย้อนดูความสำเร็จในอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเรื่องราวบนเส้นทางลูกหนังของยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนทีมนี้ 

สเปอร์ส กับประวัติตั้งแต่ยุคก่อตั้งสโมสร 

สเปอร์ส (Tottenham Hotspur) คือ หนึ่งในสโมสรฟุตบอลอาชีพประจำกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี 1882 โดยกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมของโรงเรียนมัธยม เซนต์ จอห์น (Saint John’s) ที่อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงลอนดอน แรกเริ่มใช้ชื่อทีมว่า “ฮ็อทสเปอร์” (Hotspur Football Club) ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์” (Tottenham Hotspur Football Club) ตามชื่อถนนในย่านนั้น เมื่อปี 1884  ในช่วงปีแรก ๆ สเปอร์ส ยังเป็นเพียงทีมฟุตบอลสมัครเล่นที่เต็มไปด้วยเด็กมัธยมอายุ 14-16 ผสมกับผู้ใหญ่อีกจำนวนหนึ่งซึ่งนับรวมกันแล้วทั้งทีมมีสมาชิกเพียง 18 คน ส่วนสนามแข่งก็ใช้สนามหญ้าโล่ง ๆ ในสวนสาธารณะของย่านนั้น และใช้บาร์ที่อยู่ข้าง ๆ กันเป็นห้องแต่ตัวนักเตะ ทั้งนี้การแข่งขันส่วนใหญ่เป็นการเตะกระชับมิตรกันระหว่าง สเปอร์ส กับทีมฟุตบอลของโรงเรียนท้องถิ่นหรือทีมฟุตบอลของบริษัทท้องถิ่น แต่การแข่งขันก็ได้รับความสนใจจากแฟนบอลท้องถิ่นอย่างมาก จนประทั่งปี 1888 มีคนเข้ามาชมเกมในสนามถึง 4,000 คน  ทำให้ สเปอร์ส เริ่มมีเงินทุนและพัฒนาไปเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพด้วยการย้ายไปเช่าสนามเหย้าของตัวเองที่ย่าน นอร์ทฮัมเบอร์แลนด์ (Northumberland Park) ก่อนจะย้ายไปลงหลักปักฐานที่ “ไวต์ฮาร์ตเลน” (White Hart Lane) อย่างในปัจจุบันเมื่อปี 1889  ทั้งนี้ สเปอร์ส เข้าร่วมการแข่งขันลีกฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในลีกดิวิชั่นสองเมื่อปี 1908-1909 และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการจบอันดับ 2 ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดตั้งแต่ฤดูกาลแรก แต่ทว่าหลังจากนั้น สเปอร์ส ก็แทบไม่ประสบความสำเร็จอะไรนอกจากประคองตัวอยู่รอดบนลีกสูงสุดไปปี ๆ หนึ่งเท่านั้น จนกระทั่งในซีซัน 1914-1915 สเปอร์ส ก็ตกชั้นเป็นครั้งแรกด้วยการจบอันดับบ๊วยของตารางคะแนน 

sanamball.net

ทีม สเปอร์ส ชุดก่อตั้งสโมสร ปี 1882

สเปอร์ส กับยุคตกชั้น-เลื่อนชั้นยาวนานกว่า 30 ปี (1918-1950)

  หลังจาก สเปอร์ส ตกชั้นในซีซัน 1914-1915 ลีกฟุตบอลก็ต้องหยุดแข่งชั่วคราวตั้งแต่ปี 1915-1918  เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และกลับมาแข่งอีกครั้งในซีซัน 1919-1920 ซึ่ง สเปอร์ส ก็สร้างสถิติทำได้ถึง 70 คะแนน ยิงได้ 102 ประตู และแพ้เพียง 4 เกม จนคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่นสอง สมัยแรกของสโมสร พร้อมทั้งเลื่อนขึ้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จในซีซันนั้น ก่อนที่ซีซันถัดมา สเปอร์ส จะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้เป็นสมัยที่ 2 ของสโมสรด้วยการเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส (Wolverhampton Wanderers) 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ  อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น สเปอร์ส ก็แทบไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันหรือประสบความสำเร็จในรายการไหนเลย โดยที่ดูใกล้เคียงตำแหน่งแชมป์มากที่สุดคือในซีซัน 1921-1922 สเปอร์ส จบอันดับ 2 ของตารางคะแนน ห่างอันดับ 1 อย่าง ลิเวอร์พูล เพียง 6 คะแนน พลาดการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกของสโมสรไปอย่างน่าเจ็บใจ  แต่หลังจากนั้น สเปอร์ส กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเลื่อนชั้น-ตกชั้นระหว่าลีกล่างกับลีกสูงสุดถึง 30 ปี  เริ่มตั้งแต่ ตกชั้นด้วยอันดับรองบ๊วยในซีซัน 1927-1928 ก่อนจะกลับขึ้นมาด้วยการจบอันดับ 2 ของลีกดิวิชั่นสองในซีซัน 1932-1933 แต่อยู่ได้เพียงแค่ 2 ฤดูกาลก็ระเห็จตกชั้นอีกครั้งด้วยอันดับบ๊วยในซีซัน 1934-1935 โดยหลังจากตกชั้น ผู้จัดการทีมในตอนนั้นอย่าง “เพอร์ซี่ สมิธ” (Percy Smith) ได้ออกมาแฉว่า ตนเองถูกคณะกรรมการของสโมสรแทรกแซงเรื่องการจัดตัวผู้เล่นจนทำให้ทีมตกชั้น ซึ่งครั้งนี้ต้องรอถึง 15 ปี ก่อนที่ “อาร์เธอร์ โรว์” (Arthur Rowe) จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในปี 1949 และพา สเปอร์ส เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งด้วยตำแหน่งแชมป์ลีกดิวิชั่นสอง สมัยที่ 2 ของสโมสรในซีซัน 1949-1950 

สเปอร์ส กับยุคประสบความสำเร็จภายใต้การคุมทีมของ “บิล นิโคลสัน” (1950-1970)

หลังจากกลับสู่ลีกสูงสุดด้วยตำแหน่งแชมป์ลีกดิวิชั่นสองในซีซัน 1949-1950  อาร์เธอร์ โรว์ ก็พา สเปอร์ส คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อย่างยิ่งใหญ่ตั้งแต่ปีแรกในซีซัน 1950-1951 และยังถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรอีกด้วย โดยเคล็ดลับความสำเร็จของ โรว์ คือ สไตล์การเล่นที่เขาเป็นผู้พัฒนาขึ้นเรียกว่า “สเปอร์ส เวย์” (Spurs Way) เน้นการเล่นบอลเร็ว โดยนักเตะทุกคนจะต้องจ่ายบอลเร็วและเคลื่อนที่หาช่องด้วยความรวดเร็ว ซึ่งผิดกับสไตล์การเล่นของทีมในอังกฤษส่วนใหญ่ที่มักเล่นลูกโด่งหรือการโยนบอลยาวไปข้างหน้า  ต่อมาในซีซัน 1951-1952 สเปอร์ส ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องจนมีลุ้นป้องกันแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 2 กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ได้อย่างสูสี แต่สุดท้ายก็เป็นทีมปีศาจแดงที่เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 ตามมาด้วย สเปอร์ส ที่จบอันดับ 2 ด้วยระยะห่างแค่ 4 คะแนนเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ในปี 1955  อาร์เธอร์ โรว์ ต้องวางมือจากงานผู้จัดการทีมอย่างถาวรเนื่องจากปัญหาสุขภาพ โดยมี “จิมมี่ แอนเดอร์สัน” (Jimmy Anderson) ก้าวเข้ามารับช่วงต่อตั้งแต่ปี 1955-1958 ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไร จนกระทั่ง “บิล นิโคลสัน” (Bill Nicholson) เข้ามารับไม้ต่อในปี 1958  ซึ่ง สเปอร์ส ในยุคของ บิล นิโคลสัน ถือเป็นยุคที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเลยก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่คว้า “ดับเบิ้ลแชมป์” ในซีซัน 1960-1961 ได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 2 และแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 3 และยังถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งล่าสุดของ สเปอร์ส จนถึงปัจจุบันอีกด้วย  ก่อนที่ในซีซันถัดมาจะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 4 ได้แบบติดต่อกัน  นอกจากนี้ สเปอร์ส ยังก้าวไปสู่เวทียุโรปด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ในซีซัน 1962-1963 ซึ่งถือเป็นแชมป์ระดับเวทียุโรปรายการแรกของสโมสร ก่อนจะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ เอฟเอคัพ สมัยที่ 5 ได้ในซีซัน 1966-1967  จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 1970 บิล นิโคลสัน ก็พา สเปอร์ส จบฤดูกาลด้วยการมีแชมป์ติดมือถึง 3 ปีติดต่อกัน ได้แก่ แชมป์ ลีกคัพ สมัยแรกของสโมสรในซีซัน 1970-1971 ก่อนจะออกไปประกาศศักดาในเวทียุโรปอีกครั้งด้วยการเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ (ยูโรปา ลีก ในปัจจุบัน) 3-2 คว้าแชมป์สมัยแรกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ในซีซัน 1971-1792 ปิดท้ายด้วยการกลับมาทวงแชมป์ ลีกคัพ สมัยที่ 2 ได้ในซีซัน 1972-1973  โดยรวมแล้ว สเปอร์ส ในยุค นิโคสัน คว้าแชมป์รายการใหญ่ไปถึง 8 แชมป์ ก่อนที่ นิโคสัน จะลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1974 

sanamball.net

สเปอร์ส ชุดคว้า “ดับเบิ้ลแชมป์” ปี 1960-1961

สเปอร์ส กับยุคแห่งการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดยาวนานกว่า 60 ปี (1980-ปัจจุบัน) 

หลังหมดยุค บิล นิโคสัน สเปอร์ส ก็ยังประคองตัวบนลีกสูงสุดได้ต่อเนื่อง แม้จะเคยตกชั้นในซีซัน 1976-1977 ด้วยอันดับบ๊วย แต่ก็กลับขึ้นอย่างรวดเร็วมาในซีซันถัดไป และนั่นก็ถือเป็นการตกชั้นครั้งสุดท้ายของ สเปอร์ส จนถึงปัจจุบันอีกด้วย  หลังจากนั้นจนถึงยุค 2000  สเปอร์ส สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่ ๆ ประปราย เช่น คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 6 และ 7 ได้ติดต่อกันในซีซัน 1980-1981 และ 1981-1982 ก่อนจะออกไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ สมัยที่ 2 ในซีซัน 1983-1984 ก่อนจะกลับมาชูถ้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8 ได้อีกครั้งในซีซัน 1990-1991 รวมถึงแชมป์ ลีกคัพ สมัยที่ 3 ในซีซัน 1998-1999 ปิดท้ายด้วย แชมป์ ลีกคัพ สมัยที่ 4 ในซีซัน 2007-2008 ซึ่งถือเป็นแชมป์รายการใหญ่ครั้งล่าสุดของ สเปอร์ส จนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้ สเปอร์ส ไม่เคยได้กลับไปนั่งบัลลังก์แชมป์ลีกสูงสุดอีกเลยตลอด 60 ปีที่ผ่านมา โดยผลงานที่ใกล้เคียงถ้วยแชมป์ลีกที่สุดหลังหมดยุค บิล นิโคสัน ก็คือในซีซัน 2016-2017 ที่ สเปอร์ส จบอันดับ 2 ของตารางคะแนน ตามหลังอันดับ 1 อย่าง เชลซี ถึง 7 คะแนน  อย่างไรก็ตาม ผลงานของ สเปอร์ส ในยุคของ “เมาริซิโอ โปเชตติโน” (Mauricio Pochettino) ตั้งแต่ปี 2014-2019 ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดดอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้ สเปอร์ส แทบไม่เคยตีตั๋วไปลุยศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เลย แต่ตลอดช่วง 6 ฤดูกาลที่ โปเชตติโน นั่งเอ้ากี้ผู้จัดการทีม สเปอร์ส กลายเป็นขาประจำของเวทียุโรปทุกปีไม่เคยขาด รวมถึงเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซีซัน 2018-2019 ก่อนจะพ่ายคู่แข่งร่วมลีกอย่าง ลิเวอร์พูล 0-2 พลาดแชมป์ยุโรปสมัยแรกไปอย่างน่าเสียดาย 

สเปอร์ส กับผลงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

หากเทียบกับทีมใน “ท็อป 6” ของเกาะอังกฤษ สเปอร์ส ดูจะเป็นทีมที่มีภาษีน้อยกว่าทีมอื่น ๆ เนื่องจาก หลังยุค 2000 เป็นต้นมา สเปอร์ส แทบจะไม่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากคว้าแชมป์ ลีกคัพ ได้ 1 สมัย ในซีซัน 2007-2008 แต่ก็ยังถือเป็นสโมสรเก่าแก่อันดับต้น ๆ ของอังกฤษที่เคยคว้าแชมป์ภายในประเทศมาแล้วแทบทุกรายการ โดยเฉพาะในยุคของ บิล นิโคสัน ช่วงปี 1960-1974 ที่พาสโมสรกวาดถ้วยแชมป์มาประทับตู้โชว์มากถึง 8 รายการ โดยผลงานทั้งหมดที่ สเปอร์ส เคยสร้างไว้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ได้แก่ 

แชมป์ลีกสูงสุด (ดิวิชั่นหนึ่ง/พรีเมียร์ลีก) 2 สมัย: 1950-1951, 1960-1961

แชมป์ลีกดิวิชั่นสอง (ลีกแชมเปียนชิปในปัจจุบัน) 2 สมัย: 1919-1920, 1949-1950

แชมป์ เอฟเอ คัพ 8 สมัย: 1900-1901, 1920-1921, 1960-1961, 1961-1962, 1966-1967, 1980-1981, 1981-1982, 1990-1991

แชมป์ ลีกคัพ 4 สมัย: 1970-1971, 1972-1973, 1998-1999, 2007-2008

แชมป์ คอมูนิตี ชิลด์ 7 สมัย: 1921, 1951, 1961, 1962, 1967, 1981, 1991

แชมป์ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย: 1962-1963 

แชมป์ ยูฟ่าคัพ (ยูโรปา ลีก ในปัจจุบัน) 2 สมัย: 1971-1972, 1983-1984

สเปอร์ส กับนักเตะระดับตำนานของสโมสร

แม้ สเปอร์ส จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าสโมสรยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ในยุโรป แต่ก็ถือเป็นทีมที่มีนักเตะตำนานของโลกลูกหนังมาค้าแข้งอยู่ด้วยแทบทุกยุคทุกสมัย ได้แก่

“จิมมี กรีฟส์” (Jimmy Greaves) ตำนานดาวยิงจอมถล่มประตูค้าแข้งอยู่กับ สเปอร์ส ในช่วง 1961-1970 ลงสนามไปทั้งสิ้น 381 นัด ยิงได้ 266 ประตู ทำสถิติเป็นนักเตะไก่เดือยทอมที่ยิงประตูให้สโมสรมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน ช่วยทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ 1 สมัย และ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย 

“สตีฟ เพอร์รี่แมน” (Steve Perryman) ตำนานปราการหลังจอมแกร่งค้าแข้งอยู่กับ สเปอร์ส ตั้งแต่ปี 1969-1986 ลงเล่นไปถึง 854 นัด ทำได้ 31 ประตู ทำสถิติเป็นแข้ง สเปอร์ส ที่ลงสนามรับใช้ต้นสังกัดมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน ช่วยทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ 2 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย และ ยูฟ่าคัพ 2 สมัย 

“อลัน กิลเซน” (Alan Gilzean) อดีตกองหน้าทีมชาติสก็อตแลนด์ ย้ายมาค้าแข้งอยู่กับ สเปอร์ส ในช่วง 1964-1974 ลงสนามไปทั้งสิ้น 439 นัด ทำได้ 133 ประตู คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย และ ยูฟ่าคัพ 1 สมัย

“เจอร์เมน เดโฟ” (Jermain Defoe) อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ค้าแข้งอยู่กับ สเปอร์ส 2 ช่วง ได้แก่ 2004-2008 และ 2009-2014 ลงสนามไปรวมกัน 363 นัด ยิงได้ 143 ประตู ช่วยสโมสรคว้าแชมป์ ลีกคัพ 1 สมัย 

“แฮรี่ เคน” (Harry Kane) กองหน้าจอมพังประตูของทัพไก่เดือยทองในยุคปัจจุบัน ถือเป็นนักเตะลูกหม้อของ สเปอร์ส เคยถูกปล่อยยืมไปเล่นกับหลายทีม ก่อนจะถูกดึงกลับมาเล่นชุดใหญ่กับสโมสรตั้งแต่ปี 2013 ลงสนามไปแล้ว 291 นัด ทำได้ 191 ประตู 

สเปอร์ส กับมูลค่าทางการตลาด

สเปอร์ส ถูกจัดให้เป็นสโมสรที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกอันดับที่ 9 ด้วยมูลค่าราว 774 ล้านยูโร ปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับมูลค่าทางการตลาดของ สเปอร์ส การทุ่มงบกว่า 800 ล้านยูโรเพื่อสร้างสนาม “ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม” (Tottenham Hotspur Stadium) สนามเหย้าแห่งใหม่ที่มีความจุถึง 60,000 ที่นั่ง เมื่อปี 2016-2019 รวมถึงผลงานโดยรวมของสโมสรในช่วง 5-6 ฤดูกาลหลังก็ค่อนข้างดี แม้จะไม่สามารถคว้าถ้วยแชมป์ในรายการไหนได้เลย แต่ก็สามารถเบียดแย่งแชมป์กับยักษ์ใหญ่ร่วมลีกหลายอื่น ๆ ได้แบบสูสี แถมสามารถคว้าตั๋วไปลุยศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้แทบทุกปี จนสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศในซีซัน 2018-2019  นอกจากนี้ นักเตะในสังกัดของสโมสรหลายคนก็มีมูลค่าหลายสิบล้านยูโรจนถึงร้อยล้านยูโร เช่น “แฮรี่ เคน” (Harry Kane) กองหน้าตัวเป้าของทีมที่มีมูลค่าราว 120 ล้านยูโร หรือ ซอนเฮืองมิน (Heung-min Son) ปีกตัวเก่งที่มีมูลค่าราว 60 ล้านยูโร  ส่งผลให้มูลค่าทางการตลาดของ สเปอร์ส พึ่งขึ้นมาอยู่ในอันดับ 9 

แฟนบอล “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษพันธุ์แท้ที่ไม่อยากพลาดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษ ห้ามพลาดติดตามการรวบรวมประวัติและผลงานของสโมสรฟุตบอล “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส ตั้งแต่ยุคก่อตั้งถึงปัจจุบัน โลดแล่นเขียนประวัติศาสตร์บนโลกลูกหนังมากว่าร้อยปี เต็มไปด้วยเรื่องราวความสำเร็จและความล้มเหลว ผ่านการคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และความพ่ายแพ้สุดขมขื่นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จน สเปอร์ส กลายมาเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ระดับแถวหน้าของอังกฤษและทวีปยุโรปอย่างทุกวันนี้ รับรองว่าคุณจะรู้เรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ ของสโมสรฟุตบอลที่คุณรักไม่แพ้แฟนบอลต่างประเทศอย่างแน่นอน